ข่าวตลอด 24 ชั่วโมงมาแว้วว
วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551
ทะเล "ออสเตรเลีย" อุดมสมบูรณ์ พบสัตว์น้ำหน้าแปลกหลายร้อยชนิด
นีล บรู๊ซ จากพิพิธภัณฑ์ทรอปิคัลควีนส์แลนด์
นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลค้นพบสัตว์น้ำชนิดใหม่นับร้อยชนิด บริเวณปะการังในน่านน้ำของออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็นปะการังอ่อน ไปจนถึงสัตว์ที่มีกระ ดอง
นายจูเลียน คาลีย์ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลออส เตรเลีย กล่าวว่า "พวกเราศึกษาในพื้นที่แถบนี้มานาน แต่ก็ยังพบสัตว์ใหม่ นับร้อยนับพันสาย พันธุ์ โผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า เรายังไม่ทราบถึงความลึกซึ้งของความหลากหลายทางชีวภาพในทะเล ทำ ให้ไม่อาจปกป้องสัตว์น้ำในทะเลได้อย่างเต็มที่"
1.หวีวุ้น
2.กุ้ง Alpheus parvirostris
3.ตัวซาเบลลิดส์ หรือ แฟนเวิร์ม
4.ปูคอรัลแคร็บ
5. หอยเม่น Pohls Sea Urchins
6.เดนดรอนเนพยา ซอฟต์ คอรัล
การรวบรวมสายพันธุ์สัตว์ทะเลของออสเตรเลีย อยู่ในโครงการ "สำรวจประชากรสัตว์ทะเล" ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั่วออส เตรเลีย ต่างส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมสำรวจ และน่าจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น เพราะต้องเก็บตัวอย่างเพื่อนำไปทำบาร์โค้ดพันธุกรรม ทำอนุกรมวิธานสัตว์ทะเล และจัดตั้งระบบการตั้งชื่อสัตว์ที่พบ
ในการสำรวจครั้งล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลพบปะการังอ่อน หรือ "อ็อกโตคอรัล" สายพันธุ์ใหม่กว่า 130 สายพันธุ์ สัตว์ที่มีกระดองอ่อน เช่น กุ้งที่มีขายาวกว่าตัวของมัน
โครงการ "สำรวจประชากรสัตว์ทะเล" จะสิ้นสุดในพ.ศ.2553 นับเป็นเวลาการสำรวจทั้งหมด 10 ปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียสำรวจ 3 เส้นทาง คือ บริเวณหมู่เกาะลิซซาร์ด หมู่เกาะฮีรอน และแนวปะการังนิงกาลู
แม้โครงการจะเหลือเวลาการสำรวจอีกแค่ปีกว่าๆ แต่ออสเตรเลียจะยังคงเดินหน้าสำรวจปะการังอ่อนใน 3 พื้นที่นี้ต่อไปอีก 6 ปี เพื่อเรียนรู้และเข้าใจปะการังอ่อนให้มากขึ้น เพราะขณะนี้ความรู้ด้านปะการังอ่อนมีน้อยมาก แม้ว่าปะการังอ่อนจะมีมากในเขตเกรตแบริเออร์รีฟ
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์จะนำบ้านพลาสติก 36 หลัง ปักไว้ใต้พื้นมหาสมุทรที่บริเวณหมู่เกาะลิซซาร์ด หมู่เกาะ ฮีรอน และแนวปะการังนิงกาลู เพื่อดูว่า สัตว์ใต้ทะเลจะสนใจบ้านพลาสติกนี้จนเข้ามาอยู่อาศัยหรือไม่ จากนั้นอีก 2-3 ปี ก็จะกลับไปดูอีกครั้งว่า บ้านเป็นอย่างไรบ้าง มีใครจับจองเป็นเจ้าของ ต่อไปก็จะนำบ้านพลาสติกไปปักไว้ใต้ทะเลในเขตอื่นๆ เพื่อสร้างมาตรฐานการศึกษาชีวิตสัตว์ทะเลในส่วนต่างๆ ของโลก
ที่มา นสพ.ข่าวสด จาก http://www.yenta4.coom/
10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ
10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ CoolYellLaughing
1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ
4. เช็คคำตอบ
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
จาก www.yenta4.com
5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบวิธีอ่านหนังสือ
5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบวิธีอ่านหนังสือ แบบว่าอยากสอบผ่าน....
1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้
** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะค่ะ อิอิ
2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)
3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง
4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้
5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)
เป็นยังไงบ้างคะ กับวิธีอ่านหนังสือที่เน้นการจับกลุ่มซะหน่อยนึง แต่ลองทำดูสิ อาจจะได้ผลนะ
ที่มา aommee จาก www.yenta4.com
1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้
** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะค่ะ อิอิ
2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)
3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง
4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้
5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)
เป็นยังไงบ้างคะ กับวิธีอ่านหนังสือที่เน้นการจับกลุ่มซะหน่อยนึง แต่ลองทำดูสิ อาจจะได้ผลนะ
ที่มา aommee จาก www.yenta4.com
Generation and Marketing
การแบ่งส่วนตลาด คือ การแยกกลุ่มผู้บริโภค ที่มีพฤติกรรมการซื้อใช้สินค้า แตกต่างกันออกเป็นกลุ่ม หรือเรียกว่าส่วนแบ่งตลาด
ยุคของการตลาด แบ่งเป็นดังนี้
1. Baby Boomers : เกิดระหว่างปี 1946-1964 ในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 15.7 ล้านคน เน้นความมั่นคงในชีวิต ขอให้มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมือง ชีวิตและเรื่องราวของชีวิตมักจะเกี่ยวกับครอบครัว ก่อนซื้อสินค้าอะไร มักจะคิดให้รอบคอบและจะวื้อสินค้าเดิมซ้ำๆ เพราะรู้จักมานาน
2. Yuppies : เป็นกลุ่มที่กล้าแสดงออก และมีความต้องการเป็นของตัวเอง คนกลุ่มนี้เริ่มใช้ Internet ในช่วงเติบโตเป็นวัยรุ่น พวกนี้นิยมทำงานเอกชน เพราะได้เงินเดือนดี และจะรวยตั้งแต่อายุยังน้อย มีอำนาจในการซื้อสูง และจะนิยมแบรนด์ที่ดังๆ มี 4 อย่าง
- รถยนต์ ราคาแพง
- เสื้อผ้าบูติคราคาสูง
- ใช้จ่ายเงินเกินกว่ารายได้ที่ได้รับ
- ภาพลักษณ์สะท้อนมาจากหนัง หรือรถยนต์
3. Generation X : เกิดระหว่างปี 1965-1980 หรืออายุประมาณ 25-39 ปี ในประเทศไทยมีประมาณ 16.4 ล้านคน มักเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ยังมี Balance ตัวเองในการที่จะเข้าสังคม ประกอบด้วย 8 Cs คือ มีคอนโด,มีลูกน้อย,มีโทรศัพท์มือถือ,มีเครื่องสำอาง,มีคอมพิวเตอร์,ถุงยางอนามัย พวกนี้จะพยายามตัดค่าใช้จ่ายลง และพยายามหาสินค้าที่มีเข้ากับตัวเอง และก็จะมีสินเชื้อตามมา มีการแต่งงานช้า พวกนี้เป็นพวกมนุษย์เงินเดือน มีการย้ายงานบ่อย เพื่อเพิ่มเงินเดือนไม่เวอร์จนเกินไป หาสินค้าที่มีขนาดย่อม
4. Genaretion Y : เกิดระหว่างปี 1981-1995 มีอายุราวๆ 10-24 ปี เป็นตัวของตัวเอง เป็นกลุ่มที่กล้าแสดงออก คล้ายๆกับ Genaretion X มีศัพท์แปลกๆ เยอะ ไม่เคยได้ยิน และได้ถูกบัญญัติในยุคนี้ภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ จะมีความจำเป็นต่อชีวิตมากไม่ชอบมีคนบังคับ เป็นตัวของตัวเองสูง
5. Genaretion Z : เกิดระหว่างปี 1996-2008 ถึงปัจจุบัน อายุต่ำกว่า 9 ปี ในประเทศไทยมีประมาณ 9.6 ล้านคน เป็นกลุ่มที่ลืมตาขึ้นมาในโลกที่มี Internet กำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงเป็นกลุ่มที่ตอบรับเทคโนโลยีต่างๆ ได้ดี เป็นความหวังและอนาคตของธุรกิจ E-Commerce เพราะมีทัศนคติที่ดีต่อการซื้อสินค้าแบบ On Line
6. Genaretion C : ไม่สามารถแบ่งแยก ได้ด้วยการ หรือลักษณะทางประชากรศาสตร์อื่นๆ จะมีพฤติกรรมโดดเด่นด้านการใช้ความสำคัญกับรับ หรือการส่งข้อมูลข่าวสารในชีวิตประจำวัน รวมทั้งยังมีลักษณะทางด้านการสร้างสรรค์ข้อมูล หรือ Centent ด้วยตนเองด้วย ตื่นตอนเช้า ดูรายการข่าว เพื่อค้นข้อมูล ไม่ให้เกิดการตกกระแส คนในยุคนี้ การมีข้อมูลที่มาก ถือเป็นการได้เปรียบของผู้อื่น หากต้องการซื้ออะไรจะลืมค้นข้อมูลจาก Internet เป็นสำคัญเพื่อจะให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการซื้อสินค้า
บทความจาก วิชา การเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพการบริหารธุรกิจ 3
ยุคของการตลาด แบ่งเป็นดังนี้
1. Baby Boomers : เกิดระหว่างปี 1946-1964 ในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 15.7 ล้านคน เน้นความมั่นคงในชีวิต ขอให้มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมือง ชีวิตและเรื่องราวของชีวิตมักจะเกี่ยวกับครอบครัว ก่อนซื้อสินค้าอะไร มักจะคิดให้รอบคอบและจะวื้อสินค้าเดิมซ้ำๆ เพราะรู้จักมานาน
2. Yuppies : เป็นกลุ่มที่กล้าแสดงออก และมีความต้องการเป็นของตัวเอง คนกลุ่มนี้เริ่มใช้ Internet ในช่วงเติบโตเป็นวัยรุ่น พวกนี้นิยมทำงานเอกชน เพราะได้เงินเดือนดี และจะรวยตั้งแต่อายุยังน้อย มีอำนาจในการซื้อสูง และจะนิยมแบรนด์ที่ดังๆ มี 4 อย่าง
- รถยนต์ ราคาแพง
- เสื้อผ้าบูติคราคาสูง
- ใช้จ่ายเงินเกินกว่ารายได้ที่ได้รับ
- ภาพลักษณ์สะท้อนมาจากหนัง หรือรถยนต์
3. Generation X : เกิดระหว่างปี 1965-1980 หรืออายุประมาณ 25-39 ปี ในประเทศไทยมีประมาณ 16.4 ล้านคน มักเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ยังมี Balance ตัวเองในการที่จะเข้าสังคม ประกอบด้วย 8 Cs คือ มีคอนโด,มีลูกน้อย,มีโทรศัพท์มือถือ,มีเครื่องสำอาง,มีคอมพิวเตอร์,ถุงยางอนามัย พวกนี้จะพยายามตัดค่าใช้จ่ายลง และพยายามหาสินค้าที่มีเข้ากับตัวเอง และก็จะมีสินเชื้อตามมา มีการแต่งงานช้า พวกนี้เป็นพวกมนุษย์เงินเดือน มีการย้ายงานบ่อย เพื่อเพิ่มเงินเดือนไม่เวอร์จนเกินไป หาสินค้าที่มีขนาดย่อม
4. Genaretion Y : เกิดระหว่างปี 1981-1995 มีอายุราวๆ 10-24 ปี เป็นตัวของตัวเอง เป็นกลุ่มที่กล้าแสดงออก คล้ายๆกับ Genaretion X มีศัพท์แปลกๆ เยอะ ไม่เคยได้ยิน และได้ถูกบัญญัติในยุคนี้ภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ จะมีความจำเป็นต่อชีวิตมากไม่ชอบมีคนบังคับ เป็นตัวของตัวเองสูง
5. Genaretion Z : เกิดระหว่างปี 1996-2008 ถึงปัจจุบัน อายุต่ำกว่า 9 ปี ในประเทศไทยมีประมาณ 9.6 ล้านคน เป็นกลุ่มที่ลืมตาขึ้นมาในโลกที่มี Internet กำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงเป็นกลุ่มที่ตอบรับเทคโนโลยีต่างๆ ได้ดี เป็นความหวังและอนาคตของธุรกิจ E-Commerce เพราะมีทัศนคติที่ดีต่อการซื้อสินค้าแบบ On Line
6. Genaretion C : ไม่สามารถแบ่งแยก ได้ด้วยการ หรือลักษณะทางประชากรศาสตร์อื่นๆ จะมีพฤติกรรมโดดเด่นด้านการใช้ความสำคัญกับรับ หรือการส่งข้อมูลข่าวสารในชีวิตประจำวัน รวมทั้งยังมีลักษณะทางด้านการสร้างสรรค์ข้อมูล หรือ Centent ด้วยตนเองด้วย ตื่นตอนเช้า ดูรายการข่าว เพื่อค้นข้อมูล ไม่ให้เกิดการตกกระแส คนในยุคนี้ การมีข้อมูลที่มาก ถือเป็นการได้เปรียบของผู้อื่น หากต้องการซื้ออะไรจะลืมค้นข้อมูลจาก Internet เป็นสำคัญเพื่อจะให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการซื้อสินค้า
บทความจาก วิชา การเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพการบริหารธุรกิจ 3
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551
กลยุทธ์ในการดำเนินงานมี 7 กลยุทธ์ ดังนี้
- Product (สินค้า) มีความหลากหลาย ทำให้แตกต่าง
- Price (ราคา) ราคาสมเหตุสมผล ราคาที่มาตราฐาน
- Place (สถานที่ / ช่องทางการจัดจำหน่าย) มีสถานที่จัดตั้งที่ดี
- Promotion (การส่งเสริมการขาย) เช่น ตั๋วราคาประหยัด
- People (บุคคล / ผู้บริโภค) ผู้บริโภค,ทรัพยากรที่ดี, มีการทำงานเป็นทีม
- Physical Evidence (ลักษณะทางการตลาด) มีบรรยากาศเป็นมิตร,มีสถานที่ที่สะอาด
- Process (กระบวนการทำงาน) มีกระบวนการทำงานที่ดี, ควบคุมและรักษามาตราฐาน, มีวัฒนธรรม, มีเทคโนโลยี, มีบริการประทับใจ,และรวดเร็วทันใจ
บทความจาก วิชา การเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพการบริหารธุรกิจ 3
ลักษณะที่นายจ้างต้องการ
- มีความสามารถ
- ซื้อสัตย์ ไว้ใจได้
- มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
- ขยัน ตั้งใจทำงาน
- มาทำงานสม่ำเสมอ รับผิดชอบ
- ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- รู้จักแก้ไขข้อบกพร่อง
- ร่าเริง ยิ้มแย้ม แจ่มใส
- ทำงานเป็นทีมได้
- มีความพากเพียรพยายาม อุตสาห์อดทน
- ประพฤติดี สุภาพเรียบร้อย
- ไม่เห็นแก่ตัว
- ไม่ติดเหฃ้า หรือเสพยาเสพติดร้ายเรง
บทความจาก วิชา การเตรียมฝึกประสบการณ์การวิชาชีพการบริหารธุรกิจ 3
วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551
ทายนิสัยจากสิ่งที่ชอบ....
บอกนิสัยจากสิ่งที่ชอบ
1 . คนที่ชอบ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย เป็นคนร่าเริง แจ่มใส มองโลกด้วยทัศนะสุขนิยม ทำงานเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่สับสนวุ่นวาย
2 . คนที่ชอบ อ่านหนังสือ ฟังดนตรี เป็นพวกรักความสงบ ส่วนใหญ่เป็นคนฉลาดและมีสติปัญญาล้ำเลิศ แต่มักเสียเพราะเป็นคนช่างสะเทือนใจ
3 . ผู้ที่ชอบงานออกแบบ วิศวกร เครื่องบิน ยานอวกาศ ส่วนใหญ่เป็นคนมีเหตุผล มีความสมดุล รู้จักควบคุมชีวิตได้ดี
4 . พวกที่ชอบ งานเทคนิคเป็นพวกที่มีความอยากรู้อยากเห็นสูง สุขนิยม เข้ากับคนง่าย ไม่เย่อหยิ่งกับความสำเร็จของตนเอง และมักจะมีความสุขกับผลงานเล็กๆน้อยๆ ของตนเองเสมอ
5 . พวกที่ชอบ วิทยาศาสตร์ ชอบ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์มักเป็นคนมีเหตุผล มีหลักเกณฑ์ในการตัดสินปัญหา ค่อนข้าง เป็นผู้ใหญ่ สายตากว้างไกลชอบหัวเราะให้กับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
6 . พวกที่ชอบสะสม เช่น สะสมของเก่า สะสมแสตมป์ มักเป็นคนฉลาด ความรู้กว้าง คุยเก่ง เพื่อนเยอะ ไม่ค่อยเหงา
7 . พวกที่ชอบ ศิลปะ และ ดนตรี เป็นคนที่มีความรู้สึกซับซ้อน มีอารมณ์ศิลปิน ทำให้ชีวิตและโลกสวยงามหลากหลายรูปแบบ
8 . พวกนัก นิยมธรรมชาติ ชื่นชอบ การท่องเที่ยว ชอบตกปลา มักไม่เพ้อฝัน เขาอาจจะเงียบขรึมบ้าง แต่จิตใจสงบมั่นคง 9 . พวกที่ชอบ ถ่ายรูป อุปนิสัยสลับซับซ้อน ชอบเครื่องจักรกล แต่ก็รักศิลปะ อีกทั้งนิยมสะสม เขามักจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ พึ่งพาอาศัยได้ มีรสนิยมหลายอย่าง
10 . พวกที่ชอบ ดูหนัง เป็นพวกที่หลีกหนีความเป็นจริง ฉลาด มีน้ำใจแต่เพ้อฝันมากเกินไปหน่อย จึงมักจะรู้สึกเหงา
11 . คนที่ชอบ วาดรูป ส่วนใหญ่จะเป็นเก่ง เปิดเผย ใจร้อน แต่มักหลงภาพหรือคนใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เสมอ ทำให้เปลี่ยน ใจบ่อยๆ เป็นพวกจินตนาการสูงมากมักจะโอเว่อร์เกินความเป็นจริง
12 . คนที่ชอบ อ่านเมล์แล้วส่งต่อ ส่วนใหญ่จะเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรีและ...ตกงานง่าย ...อ่ะ.... จ๊ากกกก…!!!!อ่านถึงข้อ สุดท้ายก็รีบหันซ้าย แลขวา….และ....ก้มหน้า....ทำงานกันอย่างตั้งใจต่อไปเถอะ...ชาวเรา....อิอิ
ขอบคุณบทความดีดีจาก http://www.thaireaderclub.com
1 . คนที่ชอบ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย เป็นคนร่าเริง แจ่มใส มองโลกด้วยทัศนะสุขนิยม ทำงานเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่สับสนวุ่นวาย
2 . คนที่ชอบ อ่านหนังสือ ฟังดนตรี เป็นพวกรักความสงบ ส่วนใหญ่เป็นคนฉลาดและมีสติปัญญาล้ำเลิศ แต่มักเสียเพราะเป็นคนช่างสะเทือนใจ
3 . ผู้ที่ชอบงานออกแบบ วิศวกร เครื่องบิน ยานอวกาศ ส่วนใหญ่เป็นคนมีเหตุผล มีความสมดุล รู้จักควบคุมชีวิตได้ดี
4 . พวกที่ชอบ งานเทคนิคเป็นพวกที่มีความอยากรู้อยากเห็นสูง สุขนิยม เข้ากับคนง่าย ไม่เย่อหยิ่งกับความสำเร็จของตนเอง และมักจะมีความสุขกับผลงานเล็กๆน้อยๆ ของตนเองเสมอ
5 . พวกที่ชอบ วิทยาศาสตร์ ชอบ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์มักเป็นคนมีเหตุผล มีหลักเกณฑ์ในการตัดสินปัญหา ค่อนข้าง เป็นผู้ใหญ่ สายตากว้างไกลชอบหัวเราะให้กับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
6 . พวกที่ชอบสะสม เช่น สะสมของเก่า สะสมแสตมป์ มักเป็นคนฉลาด ความรู้กว้าง คุยเก่ง เพื่อนเยอะ ไม่ค่อยเหงา
7 . พวกที่ชอบ ศิลปะ และ ดนตรี เป็นคนที่มีความรู้สึกซับซ้อน มีอารมณ์ศิลปิน ทำให้ชีวิตและโลกสวยงามหลากหลายรูปแบบ
8 . พวกนัก นิยมธรรมชาติ ชื่นชอบ การท่องเที่ยว ชอบตกปลา มักไม่เพ้อฝัน เขาอาจจะเงียบขรึมบ้าง แต่จิตใจสงบมั่นคง 9 . พวกที่ชอบ ถ่ายรูป อุปนิสัยสลับซับซ้อน ชอบเครื่องจักรกล แต่ก็รักศิลปะ อีกทั้งนิยมสะสม เขามักจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ พึ่งพาอาศัยได้ มีรสนิยมหลายอย่าง
10 . พวกที่ชอบ ดูหนัง เป็นพวกที่หลีกหนีความเป็นจริง ฉลาด มีน้ำใจแต่เพ้อฝันมากเกินไปหน่อย จึงมักจะรู้สึกเหงา
11 . คนที่ชอบ วาดรูป ส่วนใหญ่จะเป็นเก่ง เปิดเผย ใจร้อน แต่มักหลงภาพหรือคนใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เสมอ ทำให้เปลี่ยน ใจบ่อยๆ เป็นพวกจินตนาการสูงมากมักจะโอเว่อร์เกินความเป็นจริง
12 . คนที่ชอบ อ่านเมล์แล้วส่งต่อ ส่วนใหญ่จะเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรีและ...ตกงานง่าย ...อ่ะ.... จ๊ากกกก…!!!!อ่านถึงข้อ สุดท้ายก็รีบหันซ้าย แลขวา….และ....ก้มหน้า....ทำงานกันอย่างตั้งใจต่อไปเถอะ...ชาวเรา....อิอิ
ขอบคุณบทความดีดีจาก http://www.thaireaderclub.com
เตือน!!! สำหรับนักศึกษาที่กำลังจะฝึกงาน อิอิ
เพื่อนๆหลายๆคนที่เรียนทางสาอาชีพก็คงรู้ดีอยู่แล้วว่าในการเรียนแบบนี้ไม่ว่าจะเป็น ปวช หรือ ปวส ก็ต้องมีฝึกงานทั้งนั้น แต่จะได้ฝึกมากหรือน้อยก็แล้วแต่ทางแผนกหรือทางสถานศึกษานั้นได้ทำการจัดขึ้น
แต่ที่ผมเรียนนั้นทั้งแผนกได้ทำการจัดให้นักศึกที่แผนกทำการฝึกงานระยะเวลาประมาณ7-8เดือน(ผมเรียนแผนกเทคนคการผลิตเอกสาขาแม่พิมพ์พลาสติกอ่ะ ปวส ) เนื่องจากการที่เราได้ทำการฝึกงานในสถานที่ทำงานเกี่ยวกับด้านที่เราเรียนมมาจริงๆก็จะได้รู้เลยว่าด้านที่เราเรียนมาจริงๆนั้นเราชอบมันหรือรักในด้านนี้จริงๆรือเปล่า(เพื่อนๆคนไหนที่ออกไปฝึกมาแล้วลองคิดดู)คิดง่ายก้อคือเรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำหรือป่าวหรือว่าวันๆเค้าไม่ให้เราทำอะรัยเรยเราได้สัมผัสเกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องทำในอนาคตหรือยังว่ามันต้องทำอะรัยบ้างบ้างคนอาจจะบอกว่าเค้าไม่ให้ทำอะรัยเรยสบายดีก้อเรยเดินเล่นไปวันผมว่าควรคิดดูใหม่นะครับ เราควรขอลองทำในสิ่งที่อยากทำบ้างเอาที่มีประโยชชน์นะครับ และเมื่อคนที่เข้ามาสอนบอกอะรัยให้เราลองทำดูแล้วลองคดดูว่าเราชอบนะจุดๆนั้นหรือไม่ ดูแรกไม่ได้นะครับ เพราะคนเราเมื่อเจออะรัยใหม่ๆมันก้อสนุกเป็นธรรมดาลองทำในสิ่งๆนั้นดุสักพักแล้วเราจะรู้ด้วยตัวเองเรยอ่ะว่ามันคือสิ่งที่เราต้องการหรือป่าว(คิดดูดีๆนะครับเพราะเรายังอยู่ในวัยเรียนยังสามารถคดกับไปเรียนในส่งที่เราชอบจิงๆได้อยู่)บ่นมามมากล่ะขอโทดที
เมื่อผมได้มาฝึกงานที่สถานที่ทำงานกันจิงๆแล้วมันมีอะรัยมากกว่าที่เราคิดเยอะมากมีเรื่องให้รับผิดชอบมากมาย(เนื่องจากผมเคยอยู่บ้านแล้วต้องมาอยู่หอด้วยหรือป่าวไม่รู้นะ)ไม่ว่าจะเป็นการรับผิดชอบตัวเองให้การทำให้ตัวเองไปทำงานให้ได้ทุกวันห้ามโดดเพราะไม่ได้มีคาบให้โดดเหมือนใน รร ต้องไปทำงานให้ได้ทุกวันเพราะถ้าวันไหนคุนโดดไปลล่ะก้อคุณจะมีสิ่งที่ต้องเสียไปหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นค่าแรงที่คุนควรจะได้คะแนนคุนอาจจะลดลงไปโดยไม่จำเป็นต่อมาคือการปรับตัวให้เข้ากับผู้คนที่เราทำงานด้วยควรจะรู้จักให้เยอะมากที่สุดจะดีมากจะเป็นที่ปรึกษาให้เราได้อย่างดีไม่ว่าจะอยู่ในโรงงานหรือจบจากการฝึกงานไปแล้วก้อตาม ต่อมาให้หาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทให้มากที่สุดแล้วเกี่ยวกับหน้างานของเราด้วยเพราะบ้างที่อาจจะให้ทำรายงานส่งเมื่อจบการฝึกงานเรื่องถ้าไม่มีทำรายงานก้อจะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจะไปทำงานที่อื่นได้ดีมากเพราะแต่ล่ะที่ที่เราไปฝึกหน้างานที่ทำก้อคงใกล้เคียงกับงานในอนาคตเราอยู่มากในการฝึกงานให้เราพยามเก็บข้อมูลต่างๆให้ได้มากที่สุดถามเยอะเอาที่เป็นประโยชน์นะครับไม่งั้นคนที่มาสอนเราอาจจะไม่ชอบหน้าเอาถามรัยไม่รู้แล้วคุนอาจจะซวยไม่ได้อะรัยในการฝึกงานเรยที่นี้ลำบากแน่ส่วนการขาดลามาสายเป็นไปได้ยากที่จะไม่ให้มีเรยยังงัยก็คงมีอยู่บ้างล่ะหน้าแต่การที่จะขาดลามาสายเราควรบอกทางฝ่ายบุคคลหรือหัวหน้าที่รับผิดชอบสอนเราทุกครั้งอย่าไปคิดว่าเค้าจะด่าหรือจะว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องเจอด้วยเมื่อทำงานจิง
หลายคนอาจบอกว่าจะมาบ่นอะรัยแต่ผมแค่อยากบอกว่าการฝึกงานให้อะรัยมากกว่าที่เราคิดไม่ว่าจะเป็นสายที่เลือกเรียนมาหรือการที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงขึ้นเนื่องจากผมได้ทำการฝึกงานอยู่สามารถรู้ได้เรยว่าสิ่งที่เรียนมามันไม่ใช่สิ่งที่เรารักแต่ก้อพยายามทำมันให้ดีที่สุด
สิ่งที่อยากบอกกับเพื่อนในการฝึกงานก้อคือ
1การขาด ลา มาสาย ควรบอกคนที่เกี่ยวข้องกับเราเสมอเป็นไปได้อย่าขาดเรยจะดีที่สุด
2การปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่พยายามทำตัวตามลมไปก่อนอย่าไปขว้างโลกอาจจะซวยได้
3การเก็บข้อมูลต่างๆเราควรเก็บให้ได้เยอะมากที่สุดเท่าทีจะทำได้
4การที่เค้าให้ทำงานเล็กเราก้อควรทำตามไปอย่าไปคิดว่างานนี้มันไม่ตรงเรยไม่ทำดีกว่า แต่เค้าจะดูความอดทนของเราตะหากว่ามีแค่ไหน
5พยายามถามให้เยอะๆเข้าไว้ไม่ว่าจะเป็นหน้างานหรือโรงงานต่างที่คิดว่าเราอาจน่าสนจัยอาจจะทำให้เจอโรงงานดีก้อได้หรือประสบการชีวตต่างของคนที่เคยผ่านมาผมว่ามีประโยชน์เยอะมากโดยเฉพาะประสบการของคนที่เคยผ่านสายงานด้านนั้นๆมาโดยเฉพาะคนไหนที่เราคดว่าเราเก่งพยายามเข้าไปหาบ่อยๆ
บทความจากประสบการณ์จริงของนายสถาพร(เอ็ม) จาก http://www.yenta4.com/
แต่ที่ผมเรียนนั้นทั้งแผนกได้ทำการจัดให้นักศึกที่แผนกทำการฝึกงานระยะเวลาประมาณ7-8เดือน(ผมเรียนแผนกเทคนคการผลิตเอกสาขาแม่พิมพ์พลาสติกอ่ะ ปวส ) เนื่องจากการที่เราได้ทำการฝึกงานในสถานที่ทำงานเกี่ยวกับด้านที่เราเรียนมมาจริงๆก็จะได้รู้เลยว่าด้านที่เราเรียนมาจริงๆนั้นเราชอบมันหรือรักในด้านนี้จริงๆรือเปล่า(เพื่อนๆคนไหนที่ออกไปฝึกมาแล้วลองคิดดู)คิดง่ายก้อคือเรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำหรือป่าวหรือว่าวันๆเค้าไม่ให้เราทำอะรัยเรยเราได้สัมผัสเกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องทำในอนาคตหรือยังว่ามันต้องทำอะรัยบ้างบ้างคนอาจจะบอกว่าเค้าไม่ให้ทำอะรัยเรยสบายดีก้อเรยเดินเล่นไปวันผมว่าควรคิดดูใหม่นะครับ เราควรขอลองทำในสิ่งที่อยากทำบ้างเอาที่มีประโยชชน์นะครับ และเมื่อคนที่เข้ามาสอนบอกอะรัยให้เราลองทำดูแล้วลองคดดูว่าเราชอบนะจุดๆนั้นหรือไม่ ดูแรกไม่ได้นะครับ เพราะคนเราเมื่อเจออะรัยใหม่ๆมันก้อสนุกเป็นธรรมดาลองทำในสิ่งๆนั้นดุสักพักแล้วเราจะรู้ด้วยตัวเองเรยอ่ะว่ามันคือสิ่งที่เราต้องการหรือป่าว(คิดดูดีๆนะครับเพราะเรายังอยู่ในวัยเรียนยังสามารถคดกับไปเรียนในส่งที่เราชอบจิงๆได้อยู่)บ่นมามมากล่ะขอโทดที
เมื่อผมได้มาฝึกงานที่สถานที่ทำงานกันจิงๆแล้วมันมีอะรัยมากกว่าที่เราคิดเยอะมากมีเรื่องให้รับผิดชอบมากมาย(เนื่องจากผมเคยอยู่บ้านแล้วต้องมาอยู่หอด้วยหรือป่าวไม่รู้นะ)ไม่ว่าจะเป็นการรับผิดชอบตัวเองให้การทำให้ตัวเองไปทำงานให้ได้ทุกวันห้ามโดดเพราะไม่ได้มีคาบให้โดดเหมือนใน รร ต้องไปทำงานให้ได้ทุกวันเพราะถ้าวันไหนคุนโดดไปลล่ะก้อคุณจะมีสิ่งที่ต้องเสียไปหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นค่าแรงที่คุนควรจะได้คะแนนคุนอาจจะลดลงไปโดยไม่จำเป็นต่อมาคือการปรับตัวให้เข้ากับผู้คนที่เราทำงานด้วยควรจะรู้จักให้เยอะมากที่สุดจะดีมากจะเป็นที่ปรึกษาให้เราได้อย่างดีไม่ว่าจะอยู่ในโรงงานหรือจบจากการฝึกงานไปแล้วก้อตาม ต่อมาให้หาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทให้มากที่สุดแล้วเกี่ยวกับหน้างานของเราด้วยเพราะบ้างที่อาจจะให้ทำรายงานส่งเมื่อจบการฝึกงานเรื่องถ้าไม่มีทำรายงานก้อจะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจะไปทำงานที่อื่นได้ดีมากเพราะแต่ล่ะที่ที่เราไปฝึกหน้างานที่ทำก้อคงใกล้เคียงกับงานในอนาคตเราอยู่มากในการฝึกงานให้เราพยามเก็บข้อมูลต่างๆให้ได้มากที่สุดถามเยอะเอาที่เป็นประโยชน์นะครับไม่งั้นคนที่มาสอนเราอาจจะไม่ชอบหน้าเอาถามรัยไม่รู้แล้วคุนอาจจะซวยไม่ได้อะรัยในการฝึกงานเรยที่นี้ลำบากแน่ส่วนการขาดลามาสายเป็นไปได้ยากที่จะไม่ให้มีเรยยังงัยก็คงมีอยู่บ้างล่ะหน้าแต่การที่จะขาดลามาสายเราควรบอกทางฝ่ายบุคคลหรือหัวหน้าที่รับผิดชอบสอนเราทุกครั้งอย่าไปคิดว่าเค้าจะด่าหรือจะว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องเจอด้วยเมื่อทำงานจิง
หลายคนอาจบอกว่าจะมาบ่นอะรัยแต่ผมแค่อยากบอกว่าการฝึกงานให้อะรัยมากกว่าที่เราคิดไม่ว่าจะเป็นสายที่เลือกเรียนมาหรือการที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงขึ้นเนื่องจากผมได้ทำการฝึกงานอยู่สามารถรู้ได้เรยว่าสิ่งที่เรียนมามันไม่ใช่สิ่งที่เรารักแต่ก้อพยายามทำมันให้ดีที่สุด
สิ่งที่อยากบอกกับเพื่อนในการฝึกงานก้อคือ
1การขาด ลา มาสาย ควรบอกคนที่เกี่ยวข้องกับเราเสมอเป็นไปได้อย่าขาดเรยจะดีที่สุด
2การปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่พยายามทำตัวตามลมไปก่อนอย่าไปขว้างโลกอาจจะซวยได้
3การเก็บข้อมูลต่างๆเราควรเก็บให้ได้เยอะมากที่สุดเท่าทีจะทำได้
4การที่เค้าให้ทำงานเล็กเราก้อควรทำตามไปอย่าไปคิดว่างานนี้มันไม่ตรงเรยไม่ทำดีกว่า แต่เค้าจะดูความอดทนของเราตะหากว่ามีแค่ไหน
5พยายามถามให้เยอะๆเข้าไว้ไม่ว่าจะเป็นหน้างานหรือโรงงานต่างที่คิดว่าเราอาจน่าสนจัยอาจจะทำให้เจอโรงงานดีก้อได้หรือประสบการชีวตต่างของคนที่เคยผ่านมาผมว่ามีประโยชน์เยอะมากโดยเฉพาะประสบการของคนที่เคยผ่านสายงานด้านนั้นๆมาโดยเฉพาะคนไหนที่เราคดว่าเราเก่งพยายามเข้าไปหาบ่อยๆ
บทความจากประสบการณ์จริงของนายสถาพร(เอ็ม) จาก http://www.yenta4.com/
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551
เคล็ด(ไม่)ลับกับการทำธุรกิจ
เลือกธุรกิจให้ถูกดูจากอะไร
การแข่งขันของธุรกิจในหลายสาขาหรือหลายประเทภ เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน ผูที่อ่อนแอหว่ามันจะอยู่ไม่รอดในอุตสาหกรรมหรือในธุรกิจนั้นๆ ทำให้ต้องมีการปิดตัวลงและมีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาทดแทนต่อเนื่อง ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการควรพิจารณาอย่างละเอียดก่อนที่จะลงมือประกอบธุรกิจจริง คือ การให้ความสนใจในขั้นตอนการเลือกประเภทธุรกิจอย่างจริงจัง โดยต้องทราบว่า ธุรกิจใดบ้างเป็นธุรกิจที่หน้าลงทุน น่าสนใจ และมีศักยภาพ
เคล็ดลับในการทำธุรกิจให้รวย
1. ให้ความสำคัญในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เน้นในเรื่องคุรภาพ คุณค่า และความพึงพอใจที่มีต่อลูกค้า
2. ให้ความสำคัญในการทำตลาด วิเคราะห์ตัวเองเสมอ และปรับปรุงให้ดีขึ้นเสมอ
3. ปฏิบัติตามนโยบายให้บรรลุตามที่ได้วางแผนไว้ เพื่อกำไรสูงสุด
4. ทุ่มเทเวลาให้กับส่วนครองตลาดเป็นอย่างมาก เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่ตราสินค้าได้ครองส่วนแบ่งตลาด
5. มั่นติดต่อสื่อสารกับลูกค้าสม่ำเสมอ ไม่ขาดตอน
6. มุ่งผลิตสินค้าตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่เอารัดเอาเปรียบลุกค้า
7. มุ่งให้ความสำคัญแก่ลูกค้า เพราะลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำกำไรให้แก่บริษัท
บทความจาก วิชาการเรียนเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ3
การแข่งขันของธุรกิจในหลายสาขาหรือหลายประเทภ เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน ผูที่อ่อนแอหว่ามันจะอยู่ไม่รอดในอุตสาหกรรมหรือในธุรกิจนั้นๆ ทำให้ต้องมีการปิดตัวลงและมีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาทดแทนต่อเนื่อง ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการควรพิจารณาอย่างละเอียดก่อนที่จะลงมือประกอบธุรกิจจริง คือ การให้ความสนใจในขั้นตอนการเลือกประเภทธุรกิจอย่างจริงจัง โดยต้องทราบว่า ธุรกิจใดบ้างเป็นธุรกิจที่หน้าลงทุน น่าสนใจ และมีศักยภาพ
เคล็ดลับในการทำธุรกิจให้รวย
1. ให้ความสำคัญในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เน้นในเรื่องคุรภาพ คุณค่า และความพึงพอใจที่มีต่อลูกค้า
2. ให้ความสำคัญในการทำตลาด วิเคราะห์ตัวเองเสมอ และปรับปรุงให้ดีขึ้นเสมอ
3. ปฏิบัติตามนโยบายให้บรรลุตามที่ได้วางแผนไว้ เพื่อกำไรสูงสุด
4. ทุ่มเทเวลาให้กับส่วนครองตลาดเป็นอย่างมาก เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่ตราสินค้าได้ครองส่วนแบ่งตลาด
5. มั่นติดต่อสื่อสารกับลูกค้าสม่ำเสมอ ไม่ขาดตอน
6. มุ่งผลิตสินค้าตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่เอารัดเอาเปรียบลุกค้า
7. มุ่งให้ความสำคัญแก่ลูกค้า เพราะลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำกำไรให้แก่บริษัท
บทความจาก วิชาการเรียนเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ3
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)